เนื่องจากการได้พูดคุยกับเจ้าสาวหลายๆคนทำให้ครูเห็นถึงปัญหาว่า หลายคนไม่รู้ว่าควรเตรียมตัวแบบไหน มีปัญหาอะไรที่ควรหลีกเลี่ยง และเวลาไหนที่เหมาะที่สุดในการเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวต่างๆ
ครูจึงได้เรียงลำดับความสำคัญมาให้ แบบละเอียด ถึงวิธีเตรียมตัวของเจ้าสาว ถ้ามีเวลา 3 – 4 เดือนล่วงหน้า จะต้องทำอะไรบ้าง รวมถึงเคสตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้น ไปดูกันค่ะว่าเราต้องเตรียมตัวยังไง เพื่อให้เราเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดในวันสำคัญ
4 เดือนก่อนถึงวันแต่งหน้าเจ้าสาว
– เริ่มหาช่างแต่งหน้าเจ้าสาวและช่างผมเจ้าสาว ที่มีสไตล์การแต่งหน้าที่เหมาะสมกับตัวเจ้าสาวเอง โดยดูจากโทนการแต่งหน้า ทรงผมและผลงานที่ผ่านมา เพราะช่างแต่งหน้าแต่ละคนก็จะมีสไตล์การแต่งหน้าที่สวยเป็นเอกลักษณ์ของตนเองนะคะ แนะนำให้หาจากหลายๆที่ หรือจะเริ่มสอบถามจากเพื่อนๆที่เคยไปงานแต่งงาน หรือเจ้าสาวที่พึ่งแต่งงานไปก็ได้ค่ะ
***ที่สำคัญคือเจ้าสาวควรเป็นคนตัดสินใจเลือกด้วยตนเอง เพื่อให้ได้ช่างแต่งหน้าทำผมที่ชอบที่สุดนะคะ เพื่อความมั่นใจและสบายใจของตัวเจ้าสาวด้วย
– เมื่อเจอช่างแต่งหน้าเจ้าสาวที่ถูกใจแล้ว อย่าลืมจองคิวช่างที่ชอบ ถ้าหากว่าวันที่แต่งงานเป็นวันฤกษ์ดีมากๆ โดยเราสามารถเช็คในเว็บไซต์ต่างๆได้ว่าวันแต่งงานของเราเป็นวันฤกษ์ดีขนาดไหน โดยส่วนใหญ่ เดือน พฤษจิกายน จะเป็นเดือนที่บ่าวสาวมักจะแต่งงานในเดือนนี้ เพราะฤกษ์ดี และอากาศกำลังเข้าหน้าหนาว เย็นสบาย จึงถือว่าเป็นเดือนที่มีการจัดงานแต่งงานเยอะมากๆ
– พูดคุยสอบถามรายละเอียดและข้อตกลงต่างๆกับช่างแต่งหน้าเจ้าสาวให้เรียบร้อย หากต้องการเทสแต่งหน้าเจ้าสาวให้แจ้งกับช่างถึง วันที่เทสและวันแต่งจริงเพื่อป้องกันความผิดพลาด เคสที่ครูเคยเจอ คือ ลองเทสแต่งหน้าเจ้าสาวแล้วรู้สึกชอบ อยากจ้างมาแต่งหน้าวันแต่งงานจริง แต่วันจริงคิวช่างแต่งหน้าไม่ว่าง เพราะลืมคุยไว้ ก็ทำให้พลาดคิวไปเลยค่ะ
– หลายครั้งที่ครูเจอเจ้าสาวไม่ค่อยกล้าทักมาถาม เพราะเกรงใจ จริงๆแล้วครูเชื่อว่าช่างแต่งหน้าส่วนใหญ่ก็ยินดีที่จะคุยรายละเอียด ให้คำปรึกษา ปัญหาต่างๆที่เจ้าสาวกังวล เพื่อที่จะเตรียมตัวให้พร้อมในวันแต่งงานจริง ดังนั้นครูอยากให้เจ้าสาวสบายใจที่จะบอกความกังวล สิ่งที่ต้องการให้ชัดเจนกับช่างแต่งหน้านะคะ ท่องไว้ค่ะ “วันสำคัญของเรา เราต้องสวยที่สุด”
3 เดือนก่อนถึงวันแต่งหน้าเจ้าสาว
ถึงเวลาดูแลตัวเองอย่างจริงจังแล้ว!
อันดับแรกเลยที่ครูจะคุยกับเจ้าสาวคือ เรามีการบำรุงดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอหรือเปล่า และการเลือกใช้สกินแคร์นั้น เหมาะสมและสามารถแก้ปัญหาของเจ้าสาวมั้ย
การบำรุงผิวเป็นส่วนที่ค่อนข้างสำคัญ โดยหลักๆครูจะเน้นให้เริ่มต้นจากโครงสร้างผิว ( Skin Barrier ) และการคงความชุ่มชื้นของผิว ( Moisturiser ) เพื่อลดปัญหาต่างๆที่จะตามมา ไม่ว่าเป็นริ้วรอย ความโทรม หน้ามันเยิ้มผิดปกติ ผิวแห้งเป็นขุยทาแป้งไม่ติด ผิวขาดน้ำเป็นต้น แบรนด์ตัวอย่างของMoisturizerที่มีการปกป้องโครงสร้างผิวช่วยให้ผิวไม่ขาดน้ำ Cerave, Atopalm, Realberrier, Dermartlogy, Curel.
ถ้าหากว่าเคยแพ้สกินแคร์หรือเครื่องสำอางตัวไหนอย่าลืมบอกช่างแต่งหน้าด้วยนะคะ
หากเจ้าสาวคนไหนที่มีปัญหาผิวเกี่ยวกับสิว ผด การแพ้ต่างๆให้เข้าปรึกษาแพทย์ในช่วงเดือนนี้ เพื่อทำการรักษาจะได้หายทันวันแต่งงานของเรา
หากกังวลเกี่ยวกับริ้วรอย คิ้วไม่เท่ากันจากกล้ามเนื้อบนใบหน้ใบหน้าสองข้างไม่เท่ากันให้ปรึกษาหมอความงามล่วงหน้าในช่วง2-3 เดือนนี้ ซึ่งคุณหมอจะสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดค่ะ การแต่งหน้าสามารถกลบจุดด่างดำต่างๆบนใบหน้าได้ แต่ไม่สามารถทำให้ริ้วรอยหายไปได้ ไม่สามารถแก้ปัญหากล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่เท่ากัน หรือการเลิ่กคิ้วของเจ้าสาวได้
ในส่วนของผิวกาย ถ้าจะสครับผิวก็สามารถทำได้ในช่วงเดือนนี้ แต่จะต้องทาครีมกันแดดเสมอป้องกันผิวไหม้ และแนะนำให้บำรุงผิวให้ชุ่มชื้นเป็นพิเศษ เวลาลงผิวตัวเจ้าสาววันแต่งงานผิวจะได้เนียนนุ่มและผ่องออร่ามากขึ้นค่ะ
ลำดับต่อไปคือเส้นผม ในเดือนนี้ให้เริ่มบำรุงผมไว้เผื่อสำหรับ เจ้าสาวที่คิดจะทำสีผม จะได้ไม่เสียผมสวยๆไปนะคะ เจ้าสาวคนไหนที่คิดจะกัด ฟอกหรือย้อมสีผมใหม่ให้รอก่อนอย่าพึ่งทำ ในเดือนนี้ครูแนะนำให้เน้นไปที่การดูแลและเลี้ยงผมให้ยาวไว้ก่อน อย่าลืมหาทรงผมต่างๆที่ชอบไว้และพูดคุยปรึกษากับช่างผมเจ้าสาวด้วยนะคะ
รูปร่าง ต้องเริ่มวางแผนลดน้ำหนักตั้งแต่เดือนนี้แล้วล่ะค่ะเพื่อที่จะลดได้ทันวันแต่งงานโดยไม่ต้องอดอาหารหนักๆ ในช่วงใกล้ๆวันแต่งงาน
1-2 เดือนก่อนถึงวันแต่งหน้าเจ้าสาว
หากต้องการทำหัตถการความงาม เช่นฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ ไฮฟู่ อัลตร้าฟอร์มเมอร์ ฯลฯให้ทำล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนค่ะ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพเต็มที่ มีเวลาให้ผิวฟื้นจากรอยเข็ม ความบวมต่างๆจากการทำหัตถการ
หลังจากที่เราดูแลตัวเองมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว จะทำให้เราพร้อมมากพอสมควร และไม่ต้องเครียดในช่วงใกล้วันแต่งงานด้วยนะคะ
ดังนั้น เดือนนี้เราจะเตรียมพร้อมในส่วนปลีกย่อยอื่นๆ ครูจะยกเคสที่เจอบ่อยมาเป็นตัวอย่างนะคะ
ตัวอย่างเคสแรก เจ้าสาวเลี้ยงผมยาวไม่ทัน และไม่สามารถทำทรงผมเจ้าสาวที่ชอบได้ แนะนำให้ลองคุยกับช่างผมเพื่อเตรียมแฮร์พีชไปให้ หรืออาจจะมีการปรับเปลี่ยนทรงผมให้เหมาะกับตัวเจ้าสาวค่ะ
เคส 2 ที่เจอบ่อยๆคือ ช่วงที่ผ่านมาทำงานหนัก ไม่มีเวลาพักผ่อนหรือบำรุงผิวเลย ถ้าเป็นแบบนี้ให้เจ้าสาวคุยกับช่างแต่งหน้าเลยค่ะ ว่าควรจะรีบบำรุงแบบไหนที่เหมาะสมกับผิวเจ้าสาว ส่วนใหญ่ก็จะหนักไปทางมาส์กทั้งหลาย เพื่อเร่งให้ผิวกลับมาสุขภาพดีให้มากที่สุด และช่างแต่งหน้าจะได้เตรียมความพร้อมในวันแต่งด้วยค่ะ
เคส3 เจ้าสาวไม่เลือกโทนแต่งหน้าหรือทรงผมที่อยากแต่งเอง แต่ให้คนอื่นเลือกหรือตัดสินใจให้แทน ตรงนี้เป็นปัญหาที่เจอหน้างานบ่อยมากๆ เพราะความชอบความมั่นใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งเมื่อช่างแต่งหน้าให้ตามเรฟเฟอร์เร้นซ์ที่แจ้งมาแล้วแต่เจ้าสาวไม่มั่นใจ จะทำให้แก้ไขหน้างานยากและอาจทำให้เวลาเลทออกไปอีก ดังนั้นแนะนำให้เจ้าสาวใช้เวลาในการดูโทนแต่งหน้าในแบบที่ตัวเองชอบและมั่นใจด้วยตัวเองนะคะ
เดือนนี้เจ้าสาวควรงดสครับผิว เลเซอร์ผิวต่างๆ รวมถึงทดลองใช้ครีมใหม่ๆ ด้วยเพื่อป้องกันโอกาสที่ผิวแพ้หรือเห่อได้
2 อาทิตย์ก่อนถึงวันแต่งหน้าเจ้าสาว
ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เจ้าสาวเจ้าบ่าวต้องไปจัดการในส่วนต่างๆ เช่นสถานที่ การประดับตกแต่ง แขกผู้ใหญ่ พิธีการต่างๆ ดังนั้นหากเรามีการเตรียมตัวมาดีตั้งแต่แรก ก็สบายใจไปได้พอสมควรเลย
มีอะไรบ้างที่ควรทำในช่วงนี้
– สีผม เจ้าสาวที่มีแผนจะทำสีผม เพื่อให้เวลาเกล้าผมแล้วดูฟุ้งหวาน ให้เริ่มทำช่วงนี้เลยค่ะ ส่วนใหญ่แล้ว ช่างผมเจ้าสาวจะแนะนำให้ทำสีน้ำตาลธรรมชาติเป็นหลัก ที่ห้ามลืมเลยคือเมื่อทำสีผมเสร็จแล้วอย่าลืมถ่ายรูปส่งให้ช่างผมด้วยนะคะ เพราะถ้ามีการใช้แฮร์พีช ช่างผมจะได้เตรียมสีที่ใกล้เคียงมาให้ ทำให้ผมเกล้าออกมาสวยเนียนเหมือนเป็นผมจริงที่สุดค่ะ
– ฟอกสีฟัน
– แว็กขนหน้าแข้ง ถ้ามีชุดแต่งงานที่ไม่ยาว อย่างเช่น ชุดงานหมั้น เป็นต้น
– ทำสีเล็บใหม่
– เจ้าบ่าวตัดผม
1 วันก่อนถึงวันแต่งหน้าเจ้าสาว
– คอนเฟิร์มช่างแต่งหน้าและช่างทำผม เรื่องเวลา สถานที่ เบอร์โทรติดต่ออีกรอบ
– สระผมโดยไม่ใส่ครีมนวดและทรีทเม้นท์ เป่าให้ผมแห้งก่อนนอน เรื่องนี้เจ้าสาวส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดว่าถ้าสระผมแล้วจะทำให้เกล้าผมยาก จริงๆแล้วความมันบนหนังศีรษะทำให้ผมเกิดความลื่น ไดร์และเซ็ตทรงยากขึ้นค่ะ
– มาส์กผิวเพิ่มความชุ่มชื้นก่อนนอน
– ถ้าเป็นไปได้ครูอยากแนะนำให้ลดอาหารที่มีโซเดียมเยอะด้วยนะคะ เพราะจะทำให้ตอนเช้าที่ตื่นมาหน้าบวมค่ะ
– นอนหลับให้เพียงพอ ( ที่เจอส่วนใหญ่คือตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ กับเตรียมงานจนไม่ได้นอน )
จากนั้นค่อยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของช่างแต่งหน้าและช่างทำผม
ที่จะช่วยดูแลให้เจ้าสาวเป็นคนที่สวยที่สุดในวันแต่งงาน
ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าด้วยนะคะ ^___^
#ช่างแต่งหน้า #แต่งหน้า #เจ้าสาว #แต่งหน้าเจ้าสาว #ช่างแต่งหน้าเจ้าสาว #ช่างแต่งหน้าทำผม #แต่งหน้าหวานๆ #แต่งหน้าธรรมชาติ #สอนแต่งหน้า #เรียนแต่งหน้า #เตรียมตัวเจ้าสาว